ความงาม

ipl laser

ipl หน้าใส ทํารอย สิว ที่ หลังก้น ราคา

IPL

ในครั้งนี้เรามาทำความรู้จักกับ Treatment หน้าใสยอดฮิตตัวนึง คือ IPL

IPL คืออะไร ?

เริ่มต้นกันเลยจ้า IPL เป็นตัวย่อภาษาอังกฤษที่มาจากคำเต็มคือ Intense Pulse Light หรือแปลเป็นภาษาไทยว่า ลำแสงที่สั่นสะเทือนเข้มข้น คร่าวๆก็คือ การบำรุงผิวด้วยลำแสงชนิดหนึ่ง โดยทำให้หน้าใสกระจ่าง ลดจุดดำต่างๆ อีกทั้งยังสามารถกำจัดขนได้ด้วย

IPL สามารถกำจัดอะไรได้บ้าง

  1. จุดด่างดำที่มาตามวัย
  2. รอยที่เกิดขึ้นจากแดด
  3. ไฝ ปาน
  4. เส้นเลือดขอด
  5. เส้นเลือดแดงที่แตกบนใบหน้า
  6. ขนตามร่างกาย เช่น ใบหน้า คอ อก ขา รักแร้ บิกินีไลน์

ความแตกต่างระหว่าง IPL กับ การเลเซอร์

IPL ก็เหมือนกันกับเลเซอร์ เพียงแต่ความยาวคลื่น เลเซอร์ใช้ความยาวคลื่นช่วงเดียว แต่ IPL ใช้ความยาวคลื่นหลายช่วง (คล้ายแฟลชจากกล้อง)

แสงจาก IPL มีการกระจายมากกว่าเลเซอร์ที่โฟกัสเป็นจุดๆ และสามาถทะลุเข้าไปถึงผิวหนังชั้นล่างได้โดยไม่ทำลายผิวหนังชั้นแรกสุด

เซลล์เม็ดสีจะดูดซึมพลังงานแสง และเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อน ทำให้ทำลายจุดสีต่างๆบนใบหน้าที่เราไม่ต้องการ และสามารถทำลายเซลล์ถุงน้ำของขน ป้องกันการขึ้นของขน ณ จุดนั้นๆ

IPL สามารถยิงได้ทั่วร่างกาย แต่อาจไม่เหมาะกับจุดผิวหนังที่เป็นแผลเป็นหนาๆ (Keloid) หรือคนที่มีผิวหนังสีเข้ม และใช้ได้ผลดีกับคนที่มีเส้นขนสีออ่อน มากกว่าคนที่มีเส้นขนสีเข้มดำ

ก่อนทำ IPL ต้องเตรียมตัวอย่างไร

ก่อนทำ IPL ต้องเตรียมตัวอย่างไร

ก่อนทำ แพทย์ต้องประเมิณสภาพผิว และแจ้งให้ทราบว่าจะทำการยิงยังไง ตรงไหนบ้าง และจะมีผลกระทบต่อผิวยังไงบ้าง เช่น อาจเกิดสิวอักเสบ หรือ การระคายเคืองต่างๆ ที่ทำให้เกิดผื่นแดง เป็นต้น

โดยหลังจากทำ IPL ผู้รักษาต้องหลีกเลี่ยงสิ่งต่างๆเหล่านี้ เช่น หลีกเลี่ยงการโดนแดด การ WAX ขน การฉีดคอลลาเจน ทรีทเมนท์ที่ลอกผิวต่างๆ ยาต่างๆเช่น แอสไพริน ไอบูโปรเฟน ครีมที่มีวิตามิน A

ขั้นตอนการักษาเป็นอย่างไร

ผู้รักษาต้องทำการทำความสะอาดผิดบริเวณที่จำทำ IPL ก่อน หลังจากนั้นลงเจลชนิดเย็นลงไปที่ผิวบริเวณนั้น และทำการยิงลำแสง IPL ลงไปที่บริเวณที่จะทำการรักษา โดยระหว่างการรักษาบางทีอาจจะมีการให้สวมแว่นดำเพื่อป้องกันสายตา

ผู้รักษาอาจรู้สึกเหมือนถูกมดกัด หรือผึ้งต่อยบริเวณผิวหนัง บางท่านอาจรู้สึกเหมือนถูกหนังยางรัดของรัดจนกัดผิว

เวลาในการรักษาขึ้นอยู่กับความกว้างของบริเวณที่รักษา อาจใช้เวลา 20 -30 นาที

เพื่อผลการรักษาที่ต้องการอาจต้องทำ IPL สามถึงหกครั้ง การทำ IPL ควรมีระยะห่างในการทำแต่ละครั้งประมาณ 1 เดือน เพื่อให้ผิวฟื้นฟูสภาพตนเอง ในการกำจัดขนอาจต้องทำ 6 – 12 ทรีตเมนท์

ความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น

อาการส่วนมากที่คนส่วนใหญ่พบเจอคือผิวมีรอยแดง หรือมีอาการบวม หลังจากทำ IPL โดยส่วนมากจะหายภายใน 1 -2 วัน

และในบางกรณีอาจเจออาการต่างๆ เหล่านี้ เช่น อาการฟกช้ำ มีอาการพุพองบนผิวหนัง ผิวเปลี่ยนสี หรือมีอาการติดเชื้อ

อะไรจะเกิดขึ้นหลังที่ได้รับการรักษา

ผู้รักษากลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ ผิวบริเวณที่ลูก IPL จะแดง และอาจบวมประมาณ 1 – 2 ชั่วโมงซึ่งถ้าโดนแดด รอยแดงผิวบริเวณนั้นอาจขยายใหญ่ขึ้น ผิวจะกลับมาสู่สภาพปกติภายใน 1 -2 วัน ควรหลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่นจนกว่าสภาพผิวจะกลับมาปกติ

Credit :www.healthline.com

ทรีทเม้นท์หน้า

ทรีทเม้นท์หน้า วิธี ทําหน้าใส มอยเจอร์ ไรเซอร์

ทรีทเม้นท์หน้า

หลายๆท่านคงเคยเห็นโปรโมชั่นที่ชื่อว่า Treatment หน้าใส นี้จากคลินิคเสริมความงาม โดยที่ไม่ทราบรายละเอียดเลยว่าโปรโมชั่นที่ว่านี้คืออะไร วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกันว่ามันคืออะไรและประกอบไปด้วยอะไรบ้าง ตามมาทางนี้เลยจ้า

Treatment หน้าใส คือ การบำรุงผิวหน้านั่นเอง ซึ่งการบำรุงในแต่ละอย่างจะทำให้ผิวหน้า มีริ้วรอยลดลง เรียบเนียนขึ้น สีผิวสม่ำเสมอ ขาวใส เซลล์ผิวแข็งแรงขึ้น และผลัดเซลล์ผิวเก่าให้หลุดออก บำรุงเซลล์ผิวใหม่ ซึ่งการบำรุงในแต่ละรายการต้องการระยะเวลาควบคู่กับการทำสม่ำเสมอเพื่อสภาพผิวจะได้ดีขึ้นเรื่อยๆ นั่นเอง

โดยหลักๆแล้ว Treatment หน้าใส จะประกอบไปด้วย

IPL เลเซอร์ ซึ่งการทำ IPL จะทำให้ ลดรอยสิว รอยแดง รอยดำ บริเวณ ใบหน้า

CYRO ทำหน้าที่กระชับรูขุมขน ผิวแพ้ง่าย ลดผดผื่น

PHONO ผลักวิตามินผิว ทำให้หน้าขาว ใส และเรียบเนียน

MESO BLINK ทำหน้าที่ลดรอยสิว ทำให้ผิวสม่ำเสมอ

IONTO เติมวิตามินล้ำลึก ทำให้หน้าขาวใส ผิวเรียบเนียน

Facial Lift ทำให้ผิวกระชับ กระตุ้นคอลลาเจน

MASK GOLD มาร์คทองคำฟื้นฟูผิวหน้า

จะเห็นได้ว่า TREATMENT หน้าใสนี้มีหลายรายการมากบางครั้งแต่ละรายการอาจจะเหมาะกับการแก้ปัญหาผิวหน้า หรืรือแม้กระทั่งการบำรุงผิวหน้าที่ไม่เหมือนกัน แต่ละคนจึงต้องการ การ Treatment ที่ไม่เหมือนกัน

ในคราวหน้าแอดมินจะมาลงรายละเอียดในแต่ละรายการเพื่อประโยชน์ของผู้อ่านทุกท่านจะได้เลือก Treatment ที่ท่านต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อจะได้เลือกโปรโมชั่นที่เหมะสมกับทุกๆคนต่อไปจ้าา

โปรดติมตามตอนต่อไป

Cryo Treatment

Treatment หน้าใส Cryo Treatment

Cryo Treatment

สำหรับมือใหม่ที่เพิ่งเข้าวงการเห็นชื่ออาจจะเริ่มงง ว่า Treatment หน้าใส Cryo Treatment มันคืออะไร อธิบายแบบง่ายๆ มันคือการรักษาโดยใช้ Cold therapy นั่นคือการรักษาโดยใช้ความเย็นนั่นเอง

Cryo Treatment

ในทางการแพทย์สามารถใช้รักษา มะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งตับเป็นต้น ส่วนในด้านแพทย์ความงาม เราใช้ Cryo ในการทำลายเนื้อเยื่อที่เราไม่ต้องการ หรือจะพูดง่ายๆว่า ไว้จัดการกับเซลล์ผิวหนังที่เราต้องการจะผลัดมันออกไปนั่นเอง ทำให้ผิว สว่าง ผิวเด็กลง และกระจ่างใสขึ้น โดยวิธีการรักษา จะพ่นความเย็นลงบนใบหน้าครั้งละประมาณ 2-3 นาที และ ใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 20-30 นาที อันนี้เป็นข้อมูลคร่าวๆที่ทำให้มือใหม่สามารถตัดสินใจในการเลือกใช้ Treatment ต่างๆตามความต้องการได้อย่างถูกต้อง รายละเอียดและโปรโมชั่นเพิ่มเติมสามารถดูได้ที่ https://m.facebook.com/thezappclinic/

credit https://www.healthline.com

Botox

Botox มันรักษาได้ทุกสิ่งจริงหรือ

Botox

Botox มันสามารถรักษาได้ทุกสิ่งจริงหรือ ในระหว่างชั่วโมงการบำบัด หนึ่งในคนไข้ของ คุณหมอ นอร์แมน โรเซนทาล ได้กล่าวว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีความคิดเล่นๆ ว่าจะฆ่าตัวตาย แม้ว่าเขาจะได้รับยาต้านอาการซึมเศร้า และมาหาหมอตามที่นัดตลอด โดยนายแพทย์ นอร์แมน โรเซนทาล แพทย์ด้านจิตวิทยาที่ดูแลคนไข้ส่วนตัว จึงต้องการที่จะนำเสนอบางอย่างให้กับคนไข้ ท่านกล่าวว่า

Botox

“ผมคิดว่าคุณควรได้ยา Botox ” “และคุณควรทำการนัดเวลามาตรวจกับหมอตอนคุณเดินทางกลับบ้าน”

เป็นคำแนะนำที่แปลกประหลาดที่มาพร้อมกับความกลัว , แต่ไม่ใช่เป็นคำแนะนำที่ไม่มีแบบแผน , ในปี 2014 ศาสตราจารย์ โรเซนทาล แพทย์ประจำคลินิกด้านจิตวิทยา มหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์ จอร์จทาวน์ และผู้ช่วย ดร.เอริค ฟินซี ได้แถลงข้อมูลการศึกษา เกี่ยวกับผู้ป่วยซึมเศร้า ที่ได้รับยา Botox ติดตามอาการหลังจากนั้น 6 สัปดาห์ พบว่ามีอาการซึมเศร้าน้อยกว่าคนไข้กลุ่มที่ได้รับยาหลอก (placebo) ” ผมจะต้องหาสิ่งผิดปกติที่น่าสนใจ เกี่ยวกับการรักษาอาการซึมเศร้านี้ โดย ผมพบว่า Botox มีประโยชน์ในการักษาแต่ไม่ใช่ปัจจัยหลัก” กล่าวโดย นพ. โรเเซนทาล

ทั้งนี้ ยังไม่ได้รับการอนุมัติจาก FDA องค์การอาหารและยาของ ประเทศอเมริกา สำหรับการรักษาโรคซึมเศร้า โดยใช้ Botox แต่ก็ไม่ได้ทำให้ นพ. โรเซนทาล หยุดที่จะสนใจเรื่องนี้ ซึ่งยา Botox จริงๆ แล้วได้รับอนุมัติจาก FDA ในทางกฎหมาย แพทย์ที่มีใบอนุญาต สามารถใช้ยาได้ เพียงแต่ว่าแพทย์คนนั้นจะนำยา Botox ไปใช้ประโยชน์ด้านใด เท่านั้นเอง

ตอนนี้ ต้องขอบคุณการอนุมัติการใช้ Botox อย่างกว้างขวาง ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรม และชัยชนะทางการแพทย์ โดย มีการใช้งานยานี้เพิ่มขึ้นมากเรื่อยๆ และไม่ได้ใช้เพียงแต่เรื่องความสวยงามอย่างเดียว

โดย การรักษาผู้ป่วยซึมเศร้า ของคุณหมอ โรเซนทาลถือเป็นตัวอย่างนึงในการรักษา ยังมีเรื่องอื่นๆที่ใข้ Botox รักษา ได้อีกเช่น ฉีดเพื่อลดอาการเหงื่อออกมากเกินไป (ด้านสวยงามเอามาฉีดใต้วงแขน) , อาการกระตุกที่คอ อาการปัสสาวะรั่ว อาการหลั่งเร็ว อาการไมเกรน อาการมือเท้าเย็น แม้แต่อาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ หลังการผ่าตัดหัวใจ โดยปัจจัยที่แพทย์ใช้ยา อย่างหลากหลาย เป็นการ ซึงสะท้อนให้เห็นถึงการใช้ยา ตามคุณลักษณะของยาที่มากมาย มากพอๆกับที่อุสาหกรรมของยา Botox ที่เสมือนกับลูกระเบิดขนาดใหญ่

Botox คือ สารที่มีพิษต่อระบบประสาท เป็นอนุพันธ์ของแบคทีเรียที่ชื่อว่า Clostridium Botulinium ผู้ที่รับประทานอาหารที่มีสารปนเปื้อนนี้เข้าไป จะโดนรบกวนระบบประสาทที่กล้ามเนื้อหลักอาจทำให้เป็นอัมพาต หรืออาจตายได้ แต่สารนี้ถ้าฉีดเข้าร่างกายเพียงเล็กน้อย มันจะไปยับยั้งสัญญาณที่ส่งระหว่าง เส้นประสาทกับกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย และทำให้รอยเหี่ยวย่นลดลง ดังนั้น ถ้าเราหยุดการเคลื่อนที่ของกล้ามเนื้อบริเวณรอบๆ รอยเหี่ยวย่น รอยเหี่ยวย่นนั้นจะเคลื่อนที่น้อย ทำให้รอยสังเกตุยาก

ในปี 2015 บริษัท Botox รายใหญ่ในอเมริการชื่อ Allergan ทำรายได้ 2.45 หมื่นล้านดอลลาร์ รายได้นี้มากกว่าครึ่งได้มาจากการใช้ยาในการรักษาโรค ซึ่งมากกว่าที่ใช้ในด้านความสวยความงาม ซึ่งรายได้จาการใช้ Botox ในการรักษาโรค มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เนื่องยากมีการใช้งานนอกข้อบ่งใช้ในยา และ บริษัท Allergan ทำการศึกษาเรื่องนี้ด้วยตัวเอง

ดร.มิน ดง ผู้วิจัย เกี่ยวกับสาร Botox ของมหาวิทยาลัย Havard Medical School ได้กล่าวว่า “ในกรณีศึกษานี้ ส่วนใหญ่เป็นแพทย์ Front Line ที่เริ่มใช้ยานอกข้อบ่งใช้ และได้เห็นการรักษาสิ่งที่เราไม่เคยคาดหวังว่าสารพิษจะได้ผล” “ฉันพบกับแพทย์ที่ใช้สารพิษรักษาทุกที่ สำหรับโรคที่คุณไม่เคยรู่มาก่อน”

ศักยภาพของยานั้นมหาศาล แต่ก็มีความเสี่ยง ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกันว่า ควรจะใช้ในปริมาณน้อยเท่านั้น Botox จะปลอดภัยเมื่อใช้โดยผู้เชี่ยวชาญที่มีใบอนุญาต แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่ยอมรับกับการใช้ยานอกข้อบ่งใช้

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ มีเคสการฟ้องร้องที่โด่งดังเกิดขึ้นจำนวนมาก ซึ่งโจทก์อ้างว่า มีการใช้ยานอกข้อบ่งใช้ รวมทั้งมีการใช้ในการรักษาอาการทางสมองของเด็ก และมีการใช้รักษาอาการมื่อสั่นของผู้ใหญ่ ซึ่งอาจส่งผลข้างเคียงในระยะยาว ถึงกระนั้น การยอมรับในการใช้ยาของคลินิกต่างๆ ทั่วโลกยังส่งผลให้รายได้เติบโต ไม่ได้มีการแสดดงอาการชะลอตัวเลย

การค้นหาวิธีการใหม่ๆ ในการรักษา สำหรับยาที่ได้รับการอนุมัติ โดยพื้นฐานแล้วในโลกแห่งความเป็นจริงมันเกินขอบเขตที่หน่วยงานของรัฐบาลที่จะควบคุมดุแล แต่ในทางกลับกันกับเกิดคำถามมากมาย เกี่ยวกับความเสี่ยงในการใช้ยาที่ไม่ได้รับการตรวจสอบอย่างเต็มที่ และคำถามนี้ก็เกิดขึ้นตลอดเวลา

ยา Botox นี้มีมานานมากแล้ว เนื่องจากความสามารถในการลบริ้วรอยบนใบหน้า ซึ่งถูกค้นพบโดยบังเอิญในปี 1970 โดย ดร. อลัน บี สก๊อต เริ่มศึกษาเกี่ยวกับกาใช้พิษในการรักษา โรคตาเหล่ กล่าวว่า “ผู้ป่วยเหล่านี้บางคนพูดเป็นเรื่องตลกว่า คุณหมอ ฉันจะมาเอาริ้วรอยออกเหรอ แล้วหัวเราะ แต่มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเป็นจริง คุณค่าของยา และมุมมองของยานี้ ” คุณหมอสก๊อต เป็นผู้ก่อตั้งยา Oculinum และก่อตั้งบริษัทยาในชื่อเดียวกันนี้ โดยบริษัทและยาได้รับอนุมัติจาก FDA เพื่อใช้ในการรักษาโรคอาการตาเหล่ และอาการกระตุกของเปลือกตาผิดปกติ

สองปีถัดมา บริษัท Allergan ได้ทำการซื้อบริษัท Oculinum ของคุณหมอสก๊อต ในรารคา 9 ล้านดอลลาร์ แล้วทำการเปลี่ยนชื่อยาเป็น BOTOX ในเวลานั้น Allergan เป็นบริษัท ดูแลดววตา ที่ขายผลิตภัณฑ์​ เช่นน้ำยาล้าง คอนแทคเลนส์ และน้ำยาหยอดตาสำหรับตาแห้งโดยมียอดขายประมาณ 500 ล้านเหรียญต่อปี Allergan กล่าวว่า Botox เป็นยาสำหรับประชากรเฉพาะกลุ่ม โดยประมาณ 4% ของคนในสหรัฐที่มีอาการตาเหล่ ซึ่งตั้งแต่ยานี้ได้รับการอนุมัติ Allergan สร้างยอดขายได้ 13 ล้านเหรียญในสิ้นปี 1991

ในปี 1998 นาย เดวิต อี ไอ พยต ขึ้นมาเป็น CEO ของ Allergan เขากระตือรือล้นเกี่ยวกับศักยภาพในการลดริ้วรอยของ Botox และผลักดันบริษัทให้ทำการศึกษาหลายชุด สำหรับเรื่องนี้ ในปี 2002 Botox ได้รับอนุมัติจาก องค์การอาหารและยาของสหรัฐ FDA ให้ใช้ในการรักษารอยขมวดคิ้ว หรือรอยย่นระหว่างคิ้ว เป็นครั้งแรกที่ยาทางเภสัชกรรมได้รบไฟเขียวให้ใช้เกี่ยวกับด้านความสวยความงามอย่างเคร่งครัด ในปี 2001 ก่อนที่ Botox จะได้รับอนุมัติสำหรับใช้ในการรักษาริ้วรอย ก็ยังมียอดขาย 310 ล้านเหรียญ โดยในปี 2013 Botox ได้รับอนุมัติสำหรับการรักษา โรคกระเพาะปัสสาวะรั่ว Allergan รายงานว่าบริษัทมีรายได้เกือบ สองหมื่นล้านบาทจาก Botox

ในช่วงเวลากว่าทศวรรษที่ผ่านมา ผู้คนในสหรัฐฯ ฉีดสาร Botulinum ประเภท A ซึ่งส่วนใหญ่มาจาก Botox แต่ก็มีแบรนด์อื่นเช่น Dysport ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาดไม่ถึง 10% โดยจากปี 2000 -ปี 2015 การใช้สารพิษรักษาริ้วรอยเพิ่มขึ้น 759%

แต่ในปัจจุบัน การใช้ยา Botox ในทางการแพทย์กำลังสร้างเงินมหาศาล เนื่องจากแพทย์ส่วนใหญ่สามารถรับมือกับยา และรู้วิธีใช้ยาเป็นอย่างดี Botulinum toxin type A เป็น 1 ใน 7 ของสาร Neurotoxins ที่ผลิตจาก Colostridium botulinum โดยมีข่าวร้ายว่า มีผลข้างเคียงทำให้เกิดอาการ ตาเบลอ หรือ มีอาการกลืนลำบาก โดยมีกรณีในปี 2015 มีคนเกือบ 30 คนต้องเข้าโรงพยาบาล ในโอไฮโอ โดยมีคนนึงเสียชีวิต เนื่องจากสลัดมันฝรั่งที่นำมาทำอาหาร นำมาจากกระป๋องที่มีแบคทีเรียชนิดนี้อาศัยอยู่ เมื่อพิจารณาถึงระดับความเป็นพิษแล้ว บางประเทศได้สำรวจถึงศักยภาพการใช้งานเป็นอาวุธชีวภาพ

อย่างไรก็ตามการใช้งานทางการแพทย์ในปริมาณเล็กน้อย ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่เห็นว่าปลอดภัย “มันน่าสนใจมาก ” ดร. ดง ผู้วิจัยของ Havard กล่าว ” สารเหล่านี้เป็นสารพิษที่มนุษย์รู้จักมากที่สุด และยังเป็นสารพิษที่มีประโยชน์มากที่สุดที่ใช้ในการแพทย์ ขณะนี้”

Botox ทำงานโดยการปิดกั้นการสื่อสารของเส้นประสาท และกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อเคลื่อนไหวไม่ได้ชั่วคราว ซึ่งทำให้กล้ามเนื้อที่ฉีดไม่สามารถหดตัวได้ การทำงานของกล้ามเนื้อเป็นอัมพาต Botox สามารถรักษาอาการตาเหล่ กำจัดอาการกระตุกที่เปลือกตา หรือหยุดการส่งสัญญาณจากเส้นประสาทที่กระตุ้นให้เกิดเหงื่อในรักแร้

นอกจากนี้ Botox ยังสามารถป้องกันไมเกรนเรื้อรังได้อีกด้วย แต่ยังไม่มีความชัดเจนว่าเหตุใดมันถึงใช้งานได้ผล (สำหรับแพทย์ การทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกียวกับวิธีการที่ Botox ป้องกันไมเกรน เป็นเรื่องยุ่งยาก เนื่องจาก ไม่รู้แน่ชัดว่าอะไรเป็นสาเหตุของอาการปวดหัวรุนแรงตั้งแต่แรก) ดร. มิเชล บริล รองประธานอาวุโสฝ่ายพัฒนายาของ Allergan และหัวหน้าเจ้าหน้าที่วิทยาศาสตร์ของ Botox กล่าวว่า “มีการทดลองหลายครั้งเกี่ยวกับไมเกรน แต่ส่วนใหญ่ล้มเหลว ” “มันต้องใช้เวลานานในการคิดว่าจะฉีดที่ไหนและปริมาณเท่าใด” ปัจจุบันผู้ที่ได้รับ Botox เพื่อป้องกันไมเกรน ได้รับการฉีด 31 จุด ในที่ต่างๆ บนศรีษะ และลำคอ ผลของ Botox สามารถอยู่ได้ประมาณ 3 – 6 เดือนขึ้นอยู่กับสภาพ

การใช้ Botox สำหรับ ไมเกรน มันเหมือนกับหลาย ๆ เหตุการณ์ที่ยาใหม่ๆได้ขึ้นทะเบียน มันเป็นเรื่องบังเอิญที่ดี คุณหมอศัลยกรรมพลาสติกที่ Beverly Hill สังเกตว่าผู้ที่ได้รับ Botox เพื่อลดริ้วรอยมีรายงานอาการปวดหัวน้อยลง ซึ่งปูทางไปสู่การศึกษาเกี่ยวกับไมเกรนในทำนองเดียวกับแพทย์ในยุโรปรู้สึกทึ่งเมื่อสังเกตเห็นว่า ผู้ป่วยที่ได้รับ Botox เพราะอาการกระตุกที่ใบหน้า มีเหงื่อออกน้อยกว่าปกติ

” มันช่างบังเอิญจริงๆ ” ดร. บริน กล่าว

แม้ว่า ผู้คนมักเชื่อมโยงการค้นพบทางเภสัชกรรม กับ ห้องทดลองในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และการทดลองทางคลินิกที่เข้มข้น แต่ภารกิจที่คลืบคลานสำหรับ Botox ก็เช่นเดียวกับยาอื่นๆ ที่ได้รับอนุมัติสำหรับการใช้งานที่เฉพาะเจาะจง ได้รับแรงหนุนจากการใช้ยานอกข้อบ่งใช้

ในกรณีของ Botox แพทย์ที่ทดบองการใช้นอกข้อบ่งใช้ ทำเช่นนั้นเพราะมองหาทางเลือกในการรักษาที่ดีกว่าสำหรับผู้ป่วย ดร. ลินดา บรูเบเกอร์ คณบดี และหัวหน้าเจ้าหน้าที่ในโรงเรียนแพทย์ Loyola University Chicago Sritch กล่าวว่า “ในประสบการณ์การรักษาคนไข้มา 30 ปี ของฉัน Botox เป็นหนึ่งในวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดเท่าที่ฉันได้เคยเห็นมา ”

ดร. ลินดา ยังกล่าวว่า “ในการรักษาปัสสาวะรั่ว มีผู้หญิงหลายคนไม่ต้องรับยาเพื่อรักษาโรคนี้ในระยะยาว และพบว่าประมาณ 70% ของผู้หญิงที่รักษาด้วย Botox มีการรั่วใหลโดยเฉลี่ย 3 ครั้งต่อวันเทียบกับการรั่วไหล 5 ครั้งต่อวันในช่วงเริ่มต้นของการศึกษา ซึ่งเป็นตัวเลือกการรักษาท่ีคุ้มค่ามากสำหรับเขา “

เป็นความจริงที่ว่าการใช้งาน Botox ที่เพิ่มมากขึ้นได้รับแรงผลักดันมาจากแพทย์ส่วนใหญ่ แต่ผู้ผลิตยาทราบดีว่ามีการใช้ยานอกข้อบ่งใช้ก่อนที่ยาจะได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการจากองค์การอาหารและยา นั่นคือวิธี่ที่ Botox ได้รับการรับรองสำหรับใช้รักษาริ้วรอยในที่สุด

บริษัทยาในสหรัฐฯ ถูกห้ามทำการตลาด สำหรับวัตถุประสงค์ในการรักษาที่ไม่ได้รับอนุญาต จนกว่าจะได้ส่งหลักฐานไปยัง องค์การอาหารและยา FDA และได้รับไฟเขียวจากหน่วยงาน หากข้ามขั้นตอนดังกล่างจะถือว่าผิดกฎหมาย และบทลงโทษอาจสูงมาก

ในปี 2010 Allergan สารภาพผิดและตกลงชดใช้เงิน 600 ล้านดอลลาร์ โดยข้อกล่าวหาที่ว่า บริษัทส่งเสริมการใช้ Botox ในการรักษาต่างๆที่ผิดกฎหมาย เช่น อาการปวดหัว อาการปวดเกร็ง และอาการสมองพิการของเด็ก ซึ่งขณะนั้นยายังไม่ได้รับการอนุญาต จากองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ หนึ่งในอัยการร้องเรียนกล่าวว่า ” การะทำการผิดกฎหมายร้ายแรง โดยไม่คำนึงถึงผลเสียต่อสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ป่วย โดยการใข้ยารักษาผู้ป่วยนอกข้อบ่งใช้ ” กระทรวงยุติธรรมสหรัฐ ยังมีข้อโต้เถียงอีกว่า Allergan ใช้ประโยชน์จากยาตามข้อบ่งใช้ในการรักษา โรค ดิสโทเนีย ซึ่งเป็นความผิดปกติเกี่ยวกับการการหดตัว บิดเกร็งของกล้ามเนื้อคอ ” เป็นการเพิ่มยอดขายจากการใช้ยานอกข้อบ่งใช้ในอาการปวดหัว ปวดเกร็ง” อัยการยังกล่าวอีกว่า Allergan จ่ายเงินให้แพทย์ เพื่อนำเสนอ และฝึกอบรมให้แพทย์คนอื่นๆ ซึ่งในเวลานั้น Botox ยังไม่ได้รับกรอนุมัติให้ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าว

โดย ในส่วนของข้อตกลง Allergan ตกลงที่จะสารภาพผิด ในข้อหาความผิดอาญาที่ไม่ร้ายแรง และข้อหาการปิดฉลากยาไม่ถูกต้อง โดยเสียค่าปรับ 375 ล้านดอลลาร์ สหรัฐฯ และบริษัทยอมรับว่าการตลาดของ Botox นำไปสู่การใข้ยานอกข้อบ่งใช้ และ Allergan ยังตกลงที่จะจ่ายค่าปรับอีก 225 ล้านดอลลาร์ ในข้อกล่าวหาทางแพ่งที่ว่า การตลาด ของ Botox ทำให้แพทย์ต้องยื่นข้อเรียกร้องเท็จในการเรียกเงินคืน แม้ว่า Allergan จะปฏิเสธการกระทำผิด โดยบริษัทแถลงการณ์ว่า ข้อตกลงดังกว่าวเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ถือหุ้น เนื่องจาก หลีกเลี่ยงค่าใช่จ่ายในการฟ้องร้องคดี และทำให้เรามีเวลาในการพัฒนา ทรัพยากร และ การรักษาใหม่ๆ

เช่นเดียวกับยาอื่นๆ ตามกฎหมาย Allergan จำเป็นต้องแจ้งให้ทราบถึงผลข้างเคียงที่รุนแรงที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้นของ Botox ในปี 2009 องค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ ได้กำหนดให้ Botox ต้องมีคำเตือน Black box warning (เป็นคำเตือนที่การติดตามเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด ต่อผลเสียที่อาจจะเกิดขึ้นกับยาใดๆ) โดยเตือนว่ามีหลักฐานว่ายานั้นเชื่อมโยงกับผลข้างเคียงที่รุนแรงโดย Botox ถ้าฉีดกระจายไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย อาจทำให้ กล้ามเนื้ออ่อนแรง เห็นภาพซ้อน หรือเปลือกตาตก

ในทางการแพทย์ พนักงานทั่วไปถ้าไม่เห็นกล่อง Botox จะไม่ทราบว่ามี Black box warning เป็นความรับผิดชอบของแพทย์เอง สำหรับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น ถ้าใช้ยา Botox ไม่ว่าจะรักษาอาการใดๆ หรื่อไม่ว่า องค์การอาหารและยาจะรับรองหรือไม่

มิสเตอร์ เรย์ เชสเตอร์ อัยการซึ่งเป็นตัวแทนโจทก์หลายคนในคดีฟ้องร้อง Allergan กล่าวว่าในทุกกรณีที่ฟ้องร้องที่เขาดูแลอยู่ เป็นเรื่องการใช้ยานอกข้อบ่งใช้ ทั้งสิ้น ในปี 2014 คู่สามีภรรยา ชาวนิวยอร์ค เรียกร้องว่า ลูกชายของเขามีอาการแทรกซ้อนอย่าง รุนเรงเนื่องการการใช้ Botox รักษา อาการสมองพิการของลูกชาย โดยใช้ยานอกข้อบ่งใช้ และครอบครัวนี้ได้รับเงินชดเชย 6.75 ล้านเหรียญฯ จากคณะลูกขุน , Allergan ซึ่งตอนแรกวางแผนที่จะอุทธรณ์ ยุติคดีกับครอบครัวเป็นการส่วนตัวโดยเงื่อนไขของข้อตกลงได้ถูกเก็บไว้เป็นความลับ

แม้ว่าการใข้ยานอกข้อบ่งใช้ จะทำให้ผู้เชี่ยวชาญหลายคนรวมทั้งบางคนที่ FDA รู้สึกไม่สบายใจ การปฏิบัติจำเป็นอย่างยิ่งในการใช้ยา แพทย์ที่ใช้รู้ได้อย่างไรว่า ยาที่ได้รับอนุมัติให้ใช้รักษาอาการลมชัก สามารถรักษาอาการสปวดเส้นประสาท หรือรักษาอาการวิตกกังวลได้ และพวกเขาเรียนรู้ได้อย่างไรว่า Finasteride ซึ่งเป็นยารักษาต่อมลูกหมากโต สามารถลดอาการศีรษะล้านของผู้ชายได้

เจ้าหน้าที่ขาวของ FDA มิส ซาราห์ เพดดิคอร์ท กล่าวว่า ” การปรับสมมดุลระหว่าง ความเสี่ยง และผลประโยชน์ เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการใช้ยาแต่ละครั้วตามวัตถุประสงค์ แม้จะได้รับอนุญาตแล้วก็ตามเพื่อให้มั่นใจได้ว่า ประโยชน์ของการใช้ผลิตภัณฑ์ เพื่อรักษาโรคที่มีอาการเฉพาะนั้น มีมากกว่าความเสี่ยง “

นั่นเป็นเหตุว่า ทำไมการใช้ยา Allergan นอกข้อบ่งใช้ ต้องทำการตลาดให้กับแพทย์ และผู้ป่วยโรคซึมเศร้า ผู้ป่วยภาวะมือเย็น ผู้ป่วยที่ทำการผ่าตัดหัวใจ , บริษัท ต้องดำเนินการทดลองทางคลินิกของตนเอง เพื่อแสดงประสิทธิภาพ และความปลอดภัย

Allergan ไม่เปิดเผยงบประมาณการวิจัยสำหรับ Botox โดยเฉพาะ แต่งบประมาณหารวิจัยและพัฒนาประจำปีของบริษัทอยู่ที่ประมาร 1.5 พันล้านดอลลาร์ Allergan กล่าวว่า ” ยานี้ไม่ได้ทำในแง่ของการใข้งานที่แตกต่างกัน มันมี ความแตกต่าง ความน่าตื่นเต้น และโอกาสที่มีความหมายสำหรับผู้ป่วย

ในการศึกษาวิจัย เรื่อง Botox เพื่อรักษาอาการซึมเศร้า เช่นเดียวกับการศึกษาวิจัยอื่นๆ เกี่ยวกับศักยภาพในการใช้ยานอกข้อบ่งใช้ กระตุ้นให้พวกเขาได้รับคตวามสนใจ จาก Allergan ในการวิจัยของหมอ โรเซนทาล และ หมอ ฟินซี 74 คนที่เป็นโรคซึมเศร้า ได้รับการสุ่มให้ฉีด Botox หรือยาหลอก หกสัปดาห์ต่อมา 52% ของผู้ที่ได้รับ Botox พบว่า อาการลดลงเมื่อเทียบกับ 15% ของผู้ที่ได้รับยาหลอก คุณหมอฟินซี กล่าวว่า “การตอบสนองของประชากรที่ศึกษา 50% เป็นจำนวนที่สูงมาก และคนเหล่านี้เคยลองวิธีการรักษาแบบอื่นๆมาแล้ว และพวกเข้าก็ยังรู้สึกว่าไม่ดีขึ้น “

ตอนนี้ Allergan หวังว่าจะทำการวิจัยซ้ำ ในระดับที่ใหญ่ขึ้น และบริษัท กำลังดำเนินการทดลองทางคลินิกระยะที่ 2 ของตัวเอง ถ้าผลการทดลองเป็นเหมือนกับที่ คุณหมอโรเซนทาล และคุณหมอฟินซีกล่าวไว้ มันจะเป็นการปูพรมที่ยิ่งใหญ่เพื่อที่จะให้ Botox ได้รับอนุมัติใช้ในการรักษา โรคซึมเศร้า มันไม่ได้มีอะไรที่เป็นการเปลี่ยนแปลงเลนสำหรับคุณหมอในการอนุมัติ เนื่องจากคุณหมอก็ทำการรักษาด้วยแนวทางนี้อยู้แล้ว แต่มันจะช่วยให้ Allergan สามารถทำการตลาด Botox สำหรับรักษาอาการโรคซึมเศร้า ซึ่งจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้ Allergan สามารถเพิ่มยอดขายได้อย่างมาก

ถึงกระนั้นการใช้ Botox สำหรับภาวะซึมเศร้า ทำให้เกิดคำถามที่นักวิจัยบางคนสับสน ในบางกรณีว่า Botox มันสามารถรักษาได้อย่างไร โดย สารพิษสามารถปิดกั้นสัญญาณระหว่าง เส้นประสาทและกล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ โรคปัสสาวะรั่วสงบลง แก้ไขโรคตาเหล่ได้ และในกรณีการลดริ้วรอยซึงปรากฎว่ารักษาได้จริง อย่างไรก็ตาม เรื่องไมเกรน และภาวะซึมเศร้า ที่นักวิทยาศาสตร์รู้สึกสับสน พวกเขาสังเกตได้ว่ายาทำงานตามเงื่อนไข แต่พวกเขาไม่แน่ใจว่า ทางวิทยาศาสตร์ กลไกการทำงานของมันคืออะไร

ในเรื่อง โรคซึมเศร้า หมอ โรเซนทาล และ ฟินซี คิดว่า มันอาจเกี่ยวข้องกับการตอบสนองทางใบหน้า ซึ่งเป็นทฤษฎี ที่เกิดจากการวิจัยของ ชาร์ลส์ ดาร์วิน และได้รับการสำรวพเพิ่มเติมโดย วิลเลี่ยม เจมส์ นักปรัชญา และนักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ทฤษฎีนี้กล่าวว่า การแสดงออกทางสีหน้าของผู้คน มีผลต่ออารมณ์ของพวกเขา ถ้าเกิดคุณยิ้มมันจะทำให้คุณร่าเริง หากคุณไม่สามารถขมวดคิ้วได้ บางทีคุณอาจจะไม่รู้สึกกังวลหรือเศร้ามากนัก

แต่อาจเป็นอย่างอื่นก็ได้ ในปี 2008 มิสเตอร์ มัตเตโอ คาเลโอ นักวิจัยชาวอิตาลี ตีพิมพ์เรื่องงานวิจัยว่าเมื่อเขาฉีด Botox ให้กับกล้ามเนื้อของหนู เขาพบหลักฐานของยาที่แกนสมองของหนู และพบว่ามันกระจายไปอีกด้านของสมองได้ นั่นแสดงว่าสารพิษสามารถเข้าถึงระบบประสาท และสมองได้

นาย เอ็ดวิน แชปแมน ศาสตราจารย์ ด้านทระบบประสาท มหาวิทยาลัย Wisconsin กล่าวว่า ” มันน่าสงสัยมาก ” หลังจากอ่านงานวิจัยของ นาย คาเลโอ ในเดือน สิงหาคมปี 2016 เขาและ นักศึกษาระดับบัณฑิตของเขา ตีพิมพ์ผลการศึกษาในนิตยาสาร Call Report ซึ่งแสดงผลการแพร่กระจายที่คล้ายคลึงกันในเซลล์สัตว์ ในห้องปฎิบัติการ แสดงว่า Botox นั้นอาจมีอิทธิพลต่อระบบประสาทส่วนกลาง ไม่ใช่แต่เฉพาะบริเวณที่ฉีด

มันคือผลกระทบนอกเป้าหมายของ Botox ที่ทำให้นักวิจัยบางคนตื่นเต้นมาก นาย บอมบา วาซัค กล่าวว่า ” Botox อาจทำงานในลักษณะที่แตกต่างจากที่เราคิด และมันอาจจะซับซ้อนกว่านั้น “

นาย แชปแมน และบอมบา ทั้งคู่ต่างคิดว่า Botox ปลอดภัยเมื่อใช้อย่างถูกต้อง แต่พวกเขาบอกว่ากล่องจดหมายของพวกเขาเต็มไปด้วยข้อความอย่างรวดเร็ว หลังจากที่เผรแพร่บทความที่ตีพิมพ์ออกไป นาย แชปแมน กล่าวว่า ” เราตกใจกับจำนวนคนที่ได้รับอันตรายจากสารพิษเหล่านี้ เรารู้สึกว่า สิ่งเหล่านี้ปลอดภัย แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าสำหรับพวกเขา เขาเชื่อว่าสารพิษบางครั้งอาจทำให้เกิด บางสิ่งที่ย้อนกลับไม่ได้ และนั่นคือ ความลึกลับทั้งหมด “

Allergan กล่าวว่า Botox ได้รับการยอมรับ และเข้าใจ ถึงประโยขน์ และความเสี่ยง ของสารพิษ ” ด้านประสบการณ์ ทางคลินิก มากว่า 25 ปี ประมาณ 3,200 วารสารตีพิมพ์ ทางวิทยาศาสตร์ และการได้รับอนุญาตทางการแพทย์ในการทำการตลาดมากกว่า 90 แห่ง มีข้อบ่งชี้ต่างๆ มากมาย Botox และ Botox คอสเมติก เป็นยาที่ได้รับการวิจัยอย่างกว้างขวางที่สุดในโลก”

แม้ว่า กลไก ของ Botox ยังไม่เป็นที่เข้าใจกันดี และการใช้ยานอกข้อบ่งใช้ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ แต่ความสนใจในยาตัวนี้ก็ไม่น่าจะลดลง นาย รอนนี่ กัล ผู้วิจัยด้านการลงทุน ที่ศึกษาติดตามเรื่อง Botox อย่างใกล้ชิด กล่าวว่า ” Botox เป็นธุรกิจที่ทำกำไรได้ดี สำหรับ แพทย์ที่นำมาใช้ “”เมื่อผมได้พูดคุยกับแพทย์ที่ใช้ยาในการรักษา เขากล่าวว่า Botox ไม่ใช่ปัญหา มันได้ผล และให้ผลลัพทธ์ที่คุณต้องการ แต่ถ้ามันช่วยเรื่องการรักษาหัวใจห้องบน กับโรคซึมเศร้าได้ มันจะเป็นเรื่องใหญ่มาก”

ในเดือน พฤศจิกายน FDA ได้มีการไต่สวนสองวัน เพื่อรับฟังข้อคิดเห็น จากผู้เชี่ยวชาญ เกี่ยวกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับ การตลาด และการใข้ยานอกข้อบ่งใช้ บางคนกล่าวว่า การปฎิบัติดังกล่าว ปูทางไปสู่ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ และทำให้แพทย์ กับผู้ป่วย มีทางเลือก อื่นๆสำหรับการรักษาทางการแพทย์ที่ยากต่อการรักษา แบะมีบางคนกล่าวว่า การใช้ยานอกข้อบ่งใช้ มีแรงจูงใจมาจากทางการเงินเป็นหลัก เป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อสุขภาพของประชาขน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการใข้ยาโดยทดบองกับเด็ก

การใช้ยานอกข้อบ่งใช้ เป็นอีกหัวข้อนึงที่ FDA จับตามอง ตัวแทน FDA กล่าวว่า “มีหบลายกรณีที่มีการใข้ยาโดยที่ไม่ได้รับการรับรอง แม้ว่าได้รับการยอมรับทางสมาคมแพทย์ แต่ในภายหลังมีผลที่เห็นได้ว่า ยาไม่ได้ผล หรือไม่มีความปลอดภัย หรือทั้งสองอย่าง ซึ่งมีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน

ไม่มีความแน่ชัดว่า ทาง FDA มุ่งเน้นไปที่การบริหารครั้งต่อไป หลังจากที่ ประธานาธิบดี โดนัลด์ทรัมพ์ ได้รับเลือกเป็น ประธานาธิบดี และให้คำมั่นว่า ใน 100 วันแรกของเขา เขาจะจัดการ FDA เพื่อคลายการกำกับดูแล ของหน่วยงานเรื่องที่ใข้ยานอกข้อบ่งใช้

แต่แม้ว่ากฎหมายจะยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลง และตราบใดที่กฎหมายอนุญาต ให้ใข้ยานอกข้อบ่งใช้ได้ มีความคาดหวังว่า แพทย์จะผลักดันของเขตการใช้ Botox ออกไปเรื่อยๆ บางครั้งความก้าวหน้าทางการแพทย์ ก็ให้ผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง

นายแพทย์ นอร์แมน โรเซนทาล ผู้ที่แนะนำ Botox ให้สำหรับคนไข้ที่คิดฆ่าตัวตาย เขาบอกว่าเขาเห็นผลกลับกันเมื่อผู้ป่วยที่ได้รับการชักชวนจาก โรเซนทาล ให้ฉีด Botox ที่หน้าผาก และระหว่างคิ้วของเขา หลายวันต่อมาผู้ป่วยส่ง E-Mail กลับมาว่า ขอบคุณมากๆ เขารู้สึกว่าอาการดีขึ้นแล้ว

มาจากนิตยาสาร TIME (www.time.com) วันที่ 16 มกราคม 2017

phono ผลักวิตามิน

โฟโน ใช้แล้ว ขาว จริง ผิว Phono ที่ไหน ดี

โฟโน

Phono คืออะไร

เรามาทำความรู้จักกับ Phono ซึ่งเป็นหนึ่งใน ทรีทเมนต์หน้าใส ว่ามันคืออะไรและช่วยอะไรกับผิวหน้าของเรา

ที่เราเรียกกันเวลาทำ ทรีทเมนต์หน้าใส ว่า การทำ Phono จริงๆแล้วชื่อเต็มๆ มีชื่อว่า Phonophoresis

Phonophoresis คือเทคนิคการบำบัดร่างกายโดย ใช้เทคนิคการผสมกันระหว่าง การรักษาโดยใช้คลื่นเสียง อัลตร้าซาวน์ และ การรักษาโดยใช้ยา เข้าด้วยกัน โดยการรักษาคือการที่เราทายาลงไปที่ผิวโดยตรงเลยให้ผิวซึมซับยาโดยตรง และคลื่น อัลตร้าซาวน์ จะยิ่งทำให้ยาซึมซับลงไปในเนื้อเยื่อด้านล่างของผิวได้ลึกยิ่งขึ้น

Phonophoresis สามารถรักษาอาการ อักเสบ และ อาการปวด ใน กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และข้อต่อ คล้ายกันกับ Iontophoresis หรือที่เราเรียกสั้นๆ ว่า IONTO โดย Ionto ทำให้ยาซึมเข้าสู่ ผิวโดยใช้ กระแสไฟฟ้า แทนการใช้ คลื่น อัลตร้าซาวน์

Phono สามารถใช้รักษาเดี่ยวๆ หรือใช้วรมกับการรักษาแบบอื่นๆได้อีกด้วย

Phono ใช้รักษาอะไรได้บ้าง

โฟโน มักใช้เพื่อรักษาอาการ เคล็ดขัดยอก อาการตึง และอาการบาดเจ็บที่

กล้ามเนื้อ, ข้อต่อ , เส้นเอ็น , หรือส่วน อื่นๆ ที่เป็นกล้ามเนื้อ และมีสิ่งอื่นๆ ที่สามาระใช้โฟโนรักษา ได้แก่ เอ็นอักเสบ , ความผิดปกติของข้อต่อชั่วคราว , โรคข้อเข่าเสื่อม และโรคที่เกี่ยวข้องกับ ระบบประสาทส่วนกลาง เป็นต้น

หลักการทำงานของ Phono

โฟโน สามารถรักษาโดย แพทย์ นักกายภาพบำบัด หรือผู้เชี่ยวชาญด้าน อัลตร้าซาวน์ โดย ขั้นตอนการรักษามีสามขั้นตอน ขั้นแรกแพทย์ จะทำการทายาที่ใช้ในการรักษาที่เป็น เจล หรือครีม ในบริเวณที่ๆ จะทำการรักษา จากนั้นทาเจล อัลตร้าซาวน์ ในบริเวณที่ๆ จะทำการรักษาโดย เจลนี้จะข่วยให้ คลื่นอัลตร้าซาวน์ เดินทางผ่านผิวหนัง ได้ ส่วนสุดท้ายคือ การใช้หัวอัลตร้าซาวน์ ตรงบริเวณ ที่จะรักษาความถี่ของคลื่น อัลตร้าซาวน์ จะส่งยาผ่านเข้าไปเนื้อเยื่อที่อยู่บริเวณใต้ผิวหนัง

Phono มีประสิทธิภาพเพียงใด

โฟโน ในบางงานวิจัยกล่าวว่า การรักษาด้วยโฟโนมีประสิทธิภาพ ไม่เท่าการรักษาด้วยอัลตราซาวน์ ชนิดอื่นๆ ใน บางกรณี เช่นกรณี Myofascial pain syndrome (MPS) แต่ก็มีประสิทธิภาพมากกาว่าการรักษาในบางกรณีเช่น การรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม โดยส่วนใหญ่ มักใช้ โฟโน ในการรักษาร่วมกับการรักษาชนิด อื่นๆ มีกรณีศึกษานึง กล่าวว่า โฟโนจะมีประสิทธิภาพมากถ้าใช้ร่วมกับผ้าปิดแผล โดยใช้ผ้าปิดแผลที่มียา Dexamethasone ปิดบริเวณที่จะทำการรักษาไว้อย่างน้อย 30 นาที ก่อนจะใช้คลื่นอัลตร้าซาวน์ เพื่อผลลัพท์ ที่ดีขึ้น

ความเสี่ยงในการรักษาด้วย Phono

ไม่มีความเสี่ยงที่แน่ชัด สำหรับการรักษาด้วย Phono แต่มีความเสี่ยงเล็กน้อยจาก อัลตร้าซาวน์ คือ อาจทำให้ผิวหนังเกิดการไหม้ ถ้าทำตามรักษาไม่ถูกต้องตามขั้นตอน

ควรจะถามอะไรก่อนการเข้ารับการรักษาด้วย Phono

เช่นเดียวกับการรักษาทั่วๆ ไป สิ่งที่คุณควรถามคุณหมอ คือ

  • ผลข้างเคียงของการรักษา
  • มีการรักษาแบบอื่นๆ ที่ดีกว่ามั๊ย
  • มีการรักษาแบบไหนที่ควมใช้รักษาร่วมกับโฟโน
  • การรักษาจะทำให้หายจากอาการรึเปล่า
  • มีขั้นตอนการดูแลตัวเองหลังการรักษาอย่างไร

ทิ้งท้าย

Phono อาจเป็นการรักษาที่เป็นประโยชน์ ต่ออาการปวด และอาการอักเสบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริเวณกล้ามเนื้อ และเส้นเอ็น แต่มีการแนะนำว่า ไม่ควรใช้ โฟโนในการรักษาระยะยาว

ในด้านความงาม Phono ก็เป็นทรีทเมนท์ นึงที่เป็นตัวเลือกในการรักษาที่สามารถ ทำให้ยาที่ใช้รักษาดูแลผิวหน้าซึมซับสู่ผิวได้ดีขึ้น

เครดิต ขอขอบคุณข้อมูลจากเว็บไซด์ https://www.healthline.com/

ร้อยไหมก้างปลา

ร้อยไหมก้างปลา 4 เส้น บวมกี่วัน

ร้อยไหมก้างปลา

ร้อยไหม ก้างปลา ยกกระชับดีไหม ?

ร้อยไหมก้างปลา เป็นการยกกระชับผิวหน้า  เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยไม่กระชับ ต้องการปรับรูปหน้าให้ เข้ารูปเรียวสวย มากขึ้น บริเวณที่ร้อยไหมจะมีการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ บริเวณรอบเส้นไหม ทำให้ผิวหน้าตึงขึ้น  การร้อยไหมไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ  และมีความปลอดภัย เส้นไหมสามารถสลายได้เองไม่ตกค้าง

ร้อยไหมก้างปลา อยู่ได้นานแค่ไหน

ไหมจะละลายหมดไปเอง ภายใน  6-8  เดือน  ส่วนใหญ่คนไข้จะร้อยปีละ 1-2 ครั้ง ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวหน้าของแต่ละท่าน

 การร้อยไหมในแต่ละคน  คุณหมอจะทำการประเมินรูปหน้า และ ประเมินจำนวนไหมที่ใช้   ลักษณะของไหมที่เหมาะสมกับปัญหาของแต่ละคน ซึ่งการร้อยไหมจะเห็นผลทันทีหลังทำ หน้าจะยกกระชับสวยเข้ารูปมากขึ้น ใน 1 เดือน

ไหมเงี่ยงหรือไหมก้างปลา แบ่งตามวัสดุที่ใช้ดังนี้    ไหม PDO(Polydioxanone), ไหม PLLA(Polylactic Acid) และ ไหม PCL(Polycaprolactone)    

ลักษณะของปลายเข็มไหมสามารถแบ่งได้เป็น 2 แบบ

เข็มปลายแหลม ลักษณะปลายเข็มจะแหลมเหมือนเข็มปกติทั่วไป  ร้อยผ่านผิวได้ง่าย แต่อาจมีความเสี่ยงในการโดนเส้นเลือดได้ ดังนั้นอาจจะมีโอกาสเกิดความบวมเขียวช้ำ หรือบวมได้มากกว่าไหมปลายเข็มทู่
เข็มปลายทู่ ลักษณะปลายเข็มจะมีความทู่ ไม่แหลมเท่าเข็มปกติ  แต่ช่วยลดโอกาสในการไปตัดโดนเส้นเลือด  อาการบวม เขียวช้ำหลังทำจะมีไม่ค่อยมาก

ร้อยไหม ก้างปลาเจ็บไหม ?

ก่อนทำการร้อยไหม ก้างปลา   คุณหมอจะมีการฉีดยาชาให้ก่อน จึงเริ่มทำการร้อยไหม  ระหว่างร้อยก็จะไม่รู้สึกเจ็บ

แต่จะรู้สึกถึงเส้นไหม ตอนคุณหมอกำลังร้อยหรือดึงเส้นไหมเท่านั้น

ร้อยไหม กี่วันเห็นผล ?

 ร้อยไหมเงี่ยงหรือไหมก้างปลา สามารถยกกระชับแก้มที่หย่อนคล้อยได้ทันทีหลังทำ เนื่องจากเมื่อทำการร้อยไหมลงในชั้นผิว ตัวเงี่ยงไหมที่มีลักษณะคล้ายตะขอจะดึงผิวให้ยกขึ้นทันที และจะเข้าที่ได้รูปชัดเจนขึ้นในช่วงประมาณ 1 เดือน

หลังการร้อยไหมก้างปลา
ภาพ ก่อนร้อยไหม ก้างปลา  หลังร้อยไหม ก้างปลาทันที

หลังการร้อยไหม ก้างปลา อาจมีอาการบวมหรือเขียวช้ำเล็กน้อย   อาการบวมจะยุบลงได้เองภายในช่วงเวลา 14 วันค่ะ

ข้อดีของการร้อยไหม ก้างปลา

  1. ช่วยปรับใบหน้าให้ได้รูป ยกกระชับ
  2. กรอบหน้าชัดเจน เข้ารูป มากขึ้น
  3. กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิว ฟื้นฟูผิวให้แข็งแรง
  4. ผิวยกกระชับ ร่องแก้มดูตื้นขึ้น
  5. ช่วยให้การไหลเวียนโลหิตดีขึ้น ผิวกระจ่างใสขึ้น

ข้อเสีย หลัง ร้อยไหม ก้างปลา ต้องปฏิบัติตัวอย่างไร

  1. ทานยาป้องกันการอักเสบ
  2. ทานยาลดบวม
  3. ห้ามนวดหน้า หรือทำให้หน้ากระทบกระเทือน
  4. งดนวดหน้า ทรีทเมนท์ เลเซอร์ ซาวน่า เป็นเวลา 1 เดือน

ร้อยไหมห้ามนอนตะแคงกี่วัน

2 สัปดาห์ หรือมากกว่า 2 สปดาห์ ก็ยิิ่งดี

มาเด้คอลลาเจน

มาเด้คอลลาเจน 16 ตำแหน่ง Made ฉีดหน้าใส มาเด้

Made

มาเด้ คืออะไร

มาเด้ Made® คือสารละลายบริสุทธิ์ ที่มีส่วนประกอบของ สารละลายไอโซโทนิกโซเดียมคลอไรด์ โดยเป็นสารละลายที่ทำจากวัตถุดิบ สกัดจาก พืช หรือ สัตว์ ที่มีคุณสมบัติในการเป็นยารักษาโรค เราสามารถแบ่งส่วนประกอบ ของวัตถุดิบที่นำมาใช้ผลิตเป็น มาเด้ ได้ 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ

  1. สมุนไพร และแร่ธาตุที่เป็นยา
  2. เอนไซม์ และผลผลิตของ วัฏจักรกรดซิตริกหรือวัฏจักรเครบส์
  3. สารตั้งต้นทางชีวภาพ

จุดเด่นของวัตถุดิบที่มาจาก ชีวภาพ (พืชและสัตว์) ที่เกี่ยวกับกระบวนการทางด้านสรีระวิทยาคือ

  • สารสกัดสมุนไพรและแร่ธาตุต่างๆ ถูกคัดเลือกมาเพื่อทำหน้าที่เป็นตัวล้างพิษ(Detox) ให้กับเนื้อเยื่อผิวหนัง
  • เอ็นไซม์และตัวกลางของวัฏจักรเครบส์ที่ถูกทำให้เจือจาง กระตุ้น กลไกด้านสรีระวิทยา ของวัฎจักรการหายใจของเซลล์ (Cell Metabolism)ทำให้เกิด กระบวนการผลัดผิวเร็วขึ้น
  • การทำให้สารตั้งต้นทางชีวภาพเจือจางลง ส่งผลต่อ อวัยวะเป้าหมาย และอวัยวะที่เกี่ยวข้อง กับการผลิตเซลล์ ภายในของผิวหนัง

มาเด้ Made® แสดงให้เห็นว่า มีผลต่อริ้วรอยทำให้ริ้วรอยที่มี “ตื้น” สิ่งที่ทำให้ริ้วรอยตื้นขึ้น มาจากการเพิ่ม Metabolism ของผิว (เร่งการผลัดผิว) ไม่ได้มาจากสารที่ฉีดเข้าไปให้เติมเต็ม (Filler) แต่อย่างใด

กลไกการทำงานของยา Made

มา เด้ ที่ฉีดเข้าไป ทำงานผ่าน กลไกการทำงานของเอนไซม์ ขนาดต่ำ (Low Dose) เนื่องจากสารละลายที่ใช้ในการผลิต ยาเป็นสารชีวภาพ อวัยวะในร่างกายของเราจึงไม่ต่อต้าน (Block) ตรงกันข้าม นอกจากไม่ต่อต้าน กลับมีการ เพิ่มการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน (เพิ่ม Metabolism ของ Collagen) ซึ่ง จริงๆแล้ว เอนไซม์ อาจถูกต่อต้าน (Block) ได้ง่ายๆ จากปัจจัยต่างๆ เช่น โรคประจำตัว อายุ หรือการตากแดด จะเห็นได้ว่า ข้อดีของสารละลายชีวภาพ คือมันเป็นเครื่องมือกระตุ้นเอนไซม์ ชั้นดี

การให้ยา Made

Made Collagen ส่วนใหญ่ให้ยาจากการฉีดเข้าบริเวณผิวชั้นหนังแท้ โดยการรักษาระยะสั้น ทำอาทิย์ละครั้ง ใช้เวลาประมาณ 5-7 อาทิตย์ ส่วนในการรักษาระยะยาว ทำอาทิตย์แรกสองครั้ง หลังจากนั้นในเดือนแรกทำอาทิตย์ละครั้ง ต่อมาทำเดือนละครั้ง

มาเด้มีไว้เพื่อรักษาอะไร

หลักๆ เลยคือ มา เด้ ใช้รักษา รอย ตีนกา รอยย่น รอยยับ บริเวณ ใบหน้าและลำคอ ช่วยทำให้สีผิวกระจ่างใสขาวขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดอายุของผิว ช่วยให้ผิวดูอ่อนกว่าวัย กระตุ้นกระบวนการการผลัดผิวให้รวดเร็วยิ่งขึ้น

วิธีการรักษา และปริมาณยา Made ที่ให้

  • ปรับ สีผิว – ให้ยา 1-3 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยให้ตามสภาพผิวของคนไข้
  • ปรับสีผิว และลดรอยเหี่ยวย่น บนใบหน้าและลำคอ – 1 โดส ใช้กระบอกฉีดยา ขนาด 4 MM เข็มขนาด 30 G ใช้เทคนิคการฉีดแบบ classic intradermal injections utilizing mesotherapy
  • รักษารอยเหี่ยวย่น เฉพาะจุด – ใช้ยา 0.3 ML ต่อจุด ใช้กระบอกฉีดยา ขนาด 13 MM เข็มขนาด 30 G ฉีดเข้าใต้ชั้นผิวหนังจนสุดเข็ม เดินยาแล้วถอยเข็ม โดยส่ายเข็มซ้ายขวา จนกว่าเข็มจะหลุดออกมา ซึ่งเทคนิคการฉีดนี้มีชื่อว่า (tunnelling technique)

ยาที่มีฤทธิ์ต้านกันกับ Made

  • ไม่มีแน่ชัด

คำเตือน และข้อควรระมัดระวัง Made

  • ต้องมีการฆ่าเชื้อ บริเวณที่จะฉีดให้สะอาด
  • หลังจากทำการ Treatment หลีกเลี่ยงการเช็ด แอลกอฮอล์ เนื่องจากอาจทำให้บริเวณที่ฉีด เกิดการระคายเคืองได้
  • อาจมีการระคายเคืองบริเวณที่ฉีด ภายใน 2 ชั่วโมง หลังจากที่ทำการฉีดเสร็จ
  • ถ้าทำความสะอาดบริเวณที่ฉีดไม่ดี อาจมีการติดเชื้อจาก เชื้อรา หรือ แบคทีเรีย โดยจะส่งผลให้เกิดเป็น ฝี หรือ เป็นหนอง บริเวณที่ฉีด

อาการไม่พึงประสงค์ Made

  • อาการไม่พึงประสงค์ที่ไม่รุนแรงที่พบบ่อยที่สุดคือ จุดแดงเล็กน้อยบริเวณที่ฉีด เนื่องจากผลของเข็มฉีดยา (เทคนิคการฉีด )
  • มีผื่นแดงเล็กน้อย หรือ รอยช้ำ เนื่องจากมีเลือดคั่งบริเวณที่ฉีด

โบท็อก โบท็อกซ์ 2 สิ่ง ที่ควรต้องรู้ Botox คือ

โบท็อก

Botox คืออะไร

Botox เป็นชื่อทางการค้าของสาร botulinum toxin หรือที่เรียกว่า onabotulinumtoxin A (Clostridium botulinum) ซึ่งหลายๆคนคิดว่าสารตัวนี้เป็นพิษต่อมนุษย์ แล้วจะเอามาฉีดตามหน้าตามตัวของเราได้อย่างไร บางคนอาจจะไม่ทราบว่าไม่ว่าการกินสารที่ปนเปื้อนสารเคมีตัวนี้สามารถป่วยเป็นโรคที่ชื่อว่า botulism ซึ่งโรคที่ว่านี้ทำให้ พิการหรือ อาจทำให้ตายได้เลย แต่ทางกลับกันถ้านำมาฉีดในปริมาณที่ควบคุมได้ และปริมาณเล็กน้อย กลับมีประสิทธิภาพในการทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวได้ อีกทั้งในทางการแพทย์ยังสมารถนำมาใช้รักษาอาการของคนที่เป็นตาเหล่ได้ด้วย

ถ้าฉีด Botox เข้าไปมันมีหลักการทำงานอย่างไร

Botox มีทั้งหมด 8 ชนิดคือ -A,B,C1,C2,D,E,F และ G ทุกชนิดทำงานโดยยับยั้งสารที่เรียกว่า acetylcholine โดยสารตัวนี้เป็นสารสื่อประสาทที่สำคัญในร่างกายคือมันทำหน้าที่กระตุ้นให้กล้ามเนื้อทำงาน และการที่ไปยับยั้งการทำงานของสารสื่อประสาทตัวนี้จึงทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายนั่นเอง โดยถ้าฉีดเข้าไปแล้วยาจะออกฤทธิ์ใน 24-72 ชั่วโมง แล้วออกฤทธิ์สูงสุดใน 10 วัน โดยออกฤทธิ์ได้นานสองถึงสามเดือน

ในด้านความงามนำ Botox มาใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง

สำหรับมือใหม่อาจยังไม่รู้ว่าในทางความงามนั้นนำมาใช้ประโยชน์ได้หลายอย่างเลย เช่น ลดรอยยับและริ้วรอยของใบหน้า คาง คอ ได้แม้กระทั่งหน้าอก ยกกระชับคิ้ว ยกมุมปากขึ้น ทำ bunny nose ทำให้รอยต่างๆที่คางลดลง(Pebble Chin) ฯลฯ

ผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นจาก Botox

มีบางกรณีที่เกิดขึ้นได้ยากเช่น มีกรณีที่ Botox กระจายเกินขอบเขตที่ฉีดจนทำให้เกิดผลข้างเคียงที่อันตราย เช่น กลืนลำบาก หายใจลำบาก กล้ามเนื้ออ่อนแรง สายตามองเห็นไม่ชัด ตาตก เสียงพูดเปลี่ยนไป

คำแนะนำหลังการฉีด Botox

พักกิจกรรมหนักเนื่องจากทำให้เพิ่มการไหลเวียนของเลือด รวมทั้งการทำ เลเซอร์ ,IPL ,ทรีทเมนท์ ประมาณหนึ่งถึงสองอาทิตย์หลังการฉีด

สรุป Botox

ตามรายละเอียดคร่าวๆเบื้องต้นที่ได้กล่าวมาจะเห็นได้ว่า Botox คือสารพิษชนิดหนึงที่เป็นอันตรายต่อร่างกายนั่นเอง แต่ ถ้าใช้ในปริมาณที่ไม่มาก กลับนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ได้คือทำให้กล้ามเนื้อส่วนนั้นๆคลายตัว โดยที่การฉีดควรฉีดโดยแพทย์ผู้ชำนาญเท่านั้น

เมโสเทอราปี คือ ยี่ห้อ ที่ ไหน กี่ครั้ง เห็นผล

เมโสเทอราปี

เมโสเทอราปี คืออะไร

เมโสเทอราปี ( Mesotherapy ) เป็นเทคนิค ที่ใช้ในการฉีด วิตามิน เอนไซม์ ฮอร์โมน สารสกัดจากพืช เพื่อฟื้นฟู กระชับผิว และกำจัดไขมันส่วนเกิน

ในปัจจุบัน เม โส ใช้ประโยชน์ได้ ดังนี้คือ

  1. กำจัดไขมันในบริเวญต่าง ๆ เช่น ท้อง ต้นแขน ใบหน้า
  2. ลด เซลลูไลท์
  3. ลด รอยย่น และรอยตีนกา
  4. ทำให้ผิวเหี่ยวย่น กระชับ
  5. ปรับรูปทรงร่างกาย
  6. ลดจุดด่างดำที่ผิว
  7. รักษาผมร่วง

เทคนิค คือการใช้เข็มที่เล็กมากฉีดเข้าไปที่ผิวหนังชั้นกลาง เพื่อแก้ไขปัญหาพื้นฐาน ของการไหลเวียนที่ไม่ดี และการอักเสบ ซึ่งเป็นต้นเหตุทำให้ ผิวหนังถูกทำลาย

เม โส หน้าใส กี่ครั้ง เห็นผล

การฉีดเมโสหน้าใสจะเห็นผลทันทีตั้งแต่ครั้งแรกครับ โดยหลังจากฉีดประมาณ 3 วัน ก็จะเริ่มเห็นผล ว่าผิวหน้าชุ่มชื้นขึ้น สุขภาพดีขึ้น แต่ถ้าไม่ฉีดต่อเนื่องและไม่ดูแลตัวเอง ผิวก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิมครับ ปกติแล้วเมโสหน้าใส หมอจะแนะนำให้ฉีดอาทิตย์ละ 1 ครั้ง ในเดือนแรก และหลังจากนั้นฉีดทุก ๆ 2 อาทิตย์เพื่อคงสภาพผิวไว้

ไม่มีสูตรมาตรฐานสำหรับการฉีดเม โส แพทย์มักจะใช้ในการรักษาอาการต่างๆ รวมทั้ง

  1. ยาตามใบสั่งแพทย์ เช่น ยาขยายหลอดเลือด และยาปฎิชีวนะ
  2. ฮอร์โมน ต่างๆ
  3. เอนไซม์ ต่างๆ เช่น คอลลาเจน ไฮยารูโรนิก
  4. สารสกัดจากสมุนไพร
  5. วิตามิน และเกลือแร่

ฉีดเมโสหน้าใส หน้าบวมกี่วัน

เกิดจากการแพ้ ยาชาแบบทา หรือตัวยาเมโส จะบวมแดงทันทีหลังทำ และเป็นทั่วทุกจุดที่ฉีด หรือ จุดที่ทายาชา ซึ่งอาการแพ้แบบไม่รุนแรงจะไม่เป็นอันตรายต่อคนไข้ และอาการผื่นแดงจะหายเองใน 1 คืนหลังฉีด หากบวมแดงนานเกิน 24 ชม ควรพบแพทย์เพื่อประเมินการรักษาต่อไป

การเตรียมตัวก่อนฉีดเมโสหน้าใส

อย่าแรกเลยคือ เราต้องคุยกับแพทย์ที่จะทำการรักษาก่อน ควรหลีกเลลี่ยงยาแอสไพริน หรือยาแก้ปวดกลุ่ม N-SAID หนึ่งสัปดาห์ก่อนที่จะทำการรักษา เพราะยาแก้ปวดกลุ่มนี้ จะเพิ่มความเสี่ยง ในการตกเลือด และฟกช้ำ ในระหว่างการทำเม โส

จะเกิดอะไรขึ้นระหว่างการรักษา เม โส ของคุณ

ในการรักษาแต่ละครั้ง คุณจะได้รับการฉีดยาหลายๆเข็ม โดยใช้เข็มสั้นๆ โดยในการฉีด จะฉีดที่หลายระดับความลึก ซึ่งประมาณ 1 – 4 มิลลิเมตร ขึ้นอยู่กับการรักษาว่ารักษาอาการอะไร โดยแพทย์อาจทำการฉีดหลายมุม และฉีดเร็วๆถี่ โดยในแต่ละการฉีดจะฉีดยาเพียงปริมาณน้อยๆ เท่านั้น

คุณอาจจะต้องทำ เม โส หลายครั้ง เพื่อให้ได้ผลการรักษาตามที่ต้องการ โดยประมาณ 3 -15 ครั้ง ในครั้งแรกๆ อาจาต้องทำทุก 7-10 วัน ถ้าผิวคุณเริ่มจะดีขึ้น อาจจะทำห่างขึ้นเป็น ทุกๆ สองสัปดาห์ หรือ หนึ่งเดือน

ถ้าเทียบ เม โส กับการดูดไขมัน ?

เม โส คือการรักษาโดยไม่ผ่าตัด เป็นทางเลือกในการกำจัด ไขมันส่วนเกินที่ไม่ต้องการเท่านั้น ส่วนการดูดไขมัน เป็นการกำจัดไขมันส่วนเกินแบบถาวร ซึ่งเหมือนเป็นการผ่าตัดเล็ก คนไข้อาจต้องทำการรมยาสลบ แม้ว่าการดูดไขมันจะดูมีประสิทธิภาพในการกำจัดไขมันส่วนเกินถาวรมากกว่า แต่ก็พบว่ามีผลข้างเคียงจากการรักษามากกว่าเช่นกัน เช่นการติดเชื้อ การที่เส้นเลือดเส้นประสาท เสี่ยงต่อการถูกทำลาย อีกทั้งยังมีราคาแพงกว่า

ผลข้างเคียงและความเสี่ยงในการทำ เม โส

การฉีด เม โส มีความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงต่ำมากถ้าได้รับการฉีดจากผู้เชี่ยวชาญ โดยมากผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้น ได้แก่ คลื่นไส้ เจ็บปวดบริเวณี่ฉีด อาการคัน รอยแดง ช้ำ ผื่น การติดเชื้อ รอยแผลเป็น เป็นต้น

ควรพักรักษาตัวหลังจากการฉีด เม โส หรือไม่

เนื่องจากเป็นการรักษาที่ไม่ลุกลาม ปกติหลังการรักษาจะสามารถทำกิจกรรมได้เป็นปกติทันที หรืออย่างมากอาจพักรัษาตัว 1 วันเนื่องจาก มีอาการบวมแดงในบริเวณที่ฉีด

เม โส หน้าใส กี่ครั้ง เห็นผล

ฉีดเมโสหน้าใส หน้าบวมกี่วัน

หลังฉีดเมโสหน้าใส ห้ามกินอะไรบ้าง

หลังฉีดเมโสหน้าใส ล้างหน้าได้ไหม

หลังฉีดเมโสหน้าใส แต่งหน้าได้ไหม

ฉีด เม โส แล้ว สิวขึ้น

สรุป

การฉีด เม โส เป็นการรักษาทางเลือกชนิดหนึ่ง ในการนำยาเข้าสู่เซลล์ โดยการฉีดในระดับความลึกต่างๆ ซึ่งมีผลข้างเคียงในการรักษาที่ไม่มาก สามารถเลือกใช้ร่วมกับ ทรีทเม้นท์ ชนิดอื่นๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา

ขอบคุณข้อมูลจาก Website http://www.healthline.com

Scroll to Top